ผมชื่นชมและดีใจเสมอ
ที่สังคมโลกยังมีบทเพลงขับกล่อมให้ชีวิตคน เพราะเพลงแค่เพลงเดียว ก็สามารถเป็นสิ่งที่ช่วยเยียวยาความคิดมนุษย์ที่ยึดติดกับวัตถุและเหตุผล
ให้คนฟังได้เกิดจินตนาการ มีโลกใบเล็กๆที่ไร้ซึ่งกฎเกณฑ์อยู่ในห้วงคำนึง บทเพลงสามารถที่จะสร้างปรากฏการให้ผู้คนมากมายได้ตระหนักถึงชีวิตและสังคมของตัวเองว่ามันหยาบกร้าน
หรือมีแง่มุมที่อ่อนนุ่มงดงามแบบไหน โดยมีศิลปินเป็นผู้มอบความเชื่อมโยงนั้น
Motorcycle Emptiness
บทเพลงของ
Manic Street Preachers ในปี ค.ศ. 1992 เป็นเพลงโปรดของผมมานาน มันไม่ใช่เพลงอกหักจากความรัก
แต่คงเป็นเพลงของคนที่อกหักจากสังคมที่อยู่ตรงหน้า มันอาจจะเต็มไปด้วยคำตัดพ้อและขบถต่อสังคม
ในแบบวัฒนธรรมพังค์ของยุคนั้น แต่ผมเข้าใจว่า บทเพลงนี้ไม่ได้จะบั่นทอนกำลังใจในชีวิตใคร
และมันก็ไม่ได้ให้กำลังใจชีวิตใครเช่นกัน แม้ว่าการตัดพ้อ ด่าทอและร้องไห้กับสังคมที่เราฉุดรั้งมันไม่ได้
มันไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย แต่สำหรับผมมันคือเพลงที่ทำให้เราได้ตระหนักถึงความจริงในโลกยุคใหม่
และอยู่กับมันให้ได้ โดยที่หัวใจไม่บุบสลายไป
Motorcycle Emptiness
สร้างมวลคลื่นบางอย่างให้กับสังคมประชาธิปไตยแบบทุนนิยมในอังกฤษ
ซึ่งเป็นสังคมของการแข่งขันด้วยเม็ดเงิน มวลคลื่นนี้เป็น คำถากถาง สงสัย และเคลือบแคลงในระบบสังคมที่เป็นอยู่
เกิดเป็นคำถามในชีวิตผู้คนอยู่ร่ำไป ว่าวัฒนธรรมที่เป็นอยู่ทำไมมันช่างว่างเปล่า
ไร้ซึ่งความรักและโอบกอด หลายคราที่เราตามหาแสงสว่างในชีวิต
ช่วยส่องทางให้กับเรา ให้เราได้รู้หนทางข้างหน้า เราต้องสร้างทุกสิ่งทุกอย่างจากศูนย์
และในความมืดมิดของค่ำคืน เราสร้างแสงไฟนีออน เพื่อให้เราได้พบอะไรสักอย่างใต้แสงนั้น
เผื่อเราจะได้พบกับความหวัง แต่สิ่งที่แสงไฟนีออนส่องให้เรา มันเป็นเพียงมวลอากาศที่ว่างเปล่าของโลกใบใหม่ใบนี้
ทุกคนเอาเวลาไปไล่ตามสิ่งที่สังคมหยิบยื่นให้ เราต่างต้องเป็นไปตามกลไกที่สังคมต้องการ
เราวิ่งไป เราออกเดินทางไล่ตามมันไป หรือชีวิตคือพาหนะคันหนึ่งที่เพียบพร้อมและมีประโยชน์ในการเดินทาง
แต่หลายครั้งหลายคราที่เรากลับไม่รู้เลยว่าเราจะไปทางไหน และไปกับใคร
ต้องปล่อยมันเป็นเหมือนมอเตอร์ไซค์ที่ว่างเปล่าไร้คนขับ แล้วเราจะมีมันไปทำไมกัน บางทีโลกที่เราอยู่นั้น อาจจะเป็นเพียงแสงไฟนีออนที่ว่างเปล่า
กับมอเตอร์ไซค์เหงาๆคันหนึ่ง นี่คือความหมายที่ผมถอดได้จากเพลง และนำมาคิดทบทวนถึงชีวิตและสังคมในปัจจุบัน
ซึ่งไม่ใช่แค่ในอังกฤษ แต่มันสามารถกล่าวถึงโลกเกือบทั้งใบในศตวรรษที่ 21 นี้
ในโลกใบใหญ่ที่ค่อยๆแคบลง ยุคสมัยที่เปลี่ยนไป เปลี่ยนแปลง มีเรื่องราวความโดดเดี่ยวที่เกิดขึ้นกับความสัมพันธ์ของคนสังคม แผ่ขยายไปอย่างไม่มีที่หลบซ่อน เราจะอยู่ในสังคมอย่างไร ที่เราจะมองเห็นและสัมผัส ถึงคุณค่าและความหมายด้วยสิ่งที่จะสูบฉีดให้ร่างกายของเรา มันไม่ใช่เพียงโลหิตเป็นแน่ หากแต่เป็น ความรัก ความหวัง ความอบอุ่น หรือความเชื่อในบางอย่าง ที่จะกระตุ้นให้เราตั้งจุดหมายของชีวิต หล่อเลี้ยงให้เราก้าวเดินต่อไปอย่างมั่นคง บนโลกที่เราต่างไม่รู้จักมันดีพอ แต่อย่างน้อย เรารู้จักตัวเอง และความงามของชีวิต
ในโลกใบใหญ่ที่ค่อยๆแคบลง ยุคสมัยที่เปลี่ยนไป เปลี่ยนแปลง มีเรื่องราวความโดดเดี่ยวที่เกิดขึ้นกับความสัมพันธ์ของคนสังคม แผ่ขยายไปอย่างไม่มีที่หลบซ่อน เราจะอยู่ในสังคมอย่างไร ที่เราจะมองเห็นและสัมผัส ถึงคุณค่าและความหมายด้วยสิ่งที่จะสูบฉีดให้ร่างกายของเรา มันไม่ใช่เพียงโลหิตเป็นแน่ หากแต่เป็น ความรัก ความหวัง ความอบอุ่น หรือความเชื่อในบางอย่าง ที่จะกระตุ้นให้เราตั้งจุดหมายของชีวิต หล่อเลี้ยงให้เราก้าวเดินต่อไปอย่างมั่นคง บนโลกที่เราต่างไม่รู้จักมันดีพอ แต่อย่างน้อย เรารู้จักตัวเอง และความงามของชีวิต